เช้าวันวันที่ 3 ของทริป(12มี.ค.57)ศึกษาดูงานด้านการทหาร ครั้งนี้ถือได้ว่าเสี่ยงตายที่สุดในชีวิตนั่นเพราะจุดหมายคือพรมแดนเกาหลีเหนือ-ใต้ซึ่งปกติไม่สามารถเข้าออกได้เนื่องจากสองเกาหลีเป็นปรปักษ์ต่อกันในทางเทคนิคถือได้ว่าผมได้ไปเหยียบเกาหลีเหนือแล้วล่ะ (เดี๋ยวจะว่าในรายละเอียดต่อไป) และระหว่างทางยังต้องเปลี่ยนไปนั่งรถบัสของUN ซึ่งจะมีทหารสหรัฐ escort ติดรถไปด้วย
แม้กระนั้นก็ไม่ได้แปลว่าทริปนี้จะปลอดภัยแต่อย่างใด ก่อนไปเหยียบพรมแดนก็ยังต้องเซ็นรับรู้ก่อนว่าอาจเจอการปะทะจากฝ่ายตรงข้ามได้ เข้มงวดแก่การถ่ายรูปมาก ก่อนเยี่ยมชมต้องมาฟังการบรรยายสรุปก่อน

ประเทศเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ เป็นที่รู้กันอยู่ว่าไม่ได้มีสนธิสัญญาสันติภาพต่อกัน ต่างฝ่ายต่างก็ไม่รับรู้การมีอยู่และรัฐบาลของกันและกัน สงครามในคาบสมุทรเกาหลีจึงอาจจะระเบิดขึ้นอีกเมื่อไหร่ก็ได้จากการจู่โจมโดยกระทันหันของฝ่ายคอมมิวนิสต์ เกาหลีเหนือที่ผ่านมานับตั้งแต่สงครามเกาหลีสงบจากข้อตกลงหยุดยิงในปี คศ.1953 เกาหลีเหนือก็ยังทำวีรกรรมไว้มากมายอย่างต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน
มีทั้งการลักพาตัวประชาชน ส่งสปายสายลับ ส่งกองกำลังข้ามพรมแดน ยิงนักท่องเที่ยวและจับชาวประมงเกาหลีใต้ แอบลอบขุดอุโมงค์ลับ(เดี๋ยวจะพาไปดูด้วย) ที่น่าเศร้าคือพรมแดนนี้กั้นคนชาติเดียวกัน พูดภาษาเดียวกัน และเคยเป็นครอบครัวเดียวกัน
จริงๆแล้วไม่มีฝ่ายใดเห็นว่านั่นคือพรมแดน เพราะต่างอ้างความเป็นเจ้าของ คาบสมุทรเกาหลีทั้งหมด ที่กั้นนี่ก็คือการกั้นอย่างเสียไม่ได้และเลี่ยงการตีกันเท่านั้นเอง ทั้งสองฝ่ายไม่ได้สมัครใจเลย แต่ UN และสหรัฐเป็นคนกำหนดเขตเหล่านี้

พรมแดนที่กั้นระหว่างสองเกาหลีไม่ได้เป็นเส้นแบบที่ก้าวขาไปก็ข้ามไปได้อีกฝั่ง เนื่องจากทั้งสองฝ่ายได้ถอยร่นเว้นที่ไว้ด้านละประมาณ2กิโลเมตร ทำให้เกิดเป็นแนวใหญ่ พาดกลางคาบสมุทรเกาหลี แนวที่มีความกว้างโดยเเฉลี่ย 4 (2+2) กิโลเมตรนี้เรียกว่า
DMZ หรือ Demilitarized Zone ไม่ว่าทหารหรือพลเรือนก็ไม่สามารถเข้าออกบริเวณนี้ได้ แต่หากพื้นที่ใน DMZ ทั้งหมดถูกปิดกั้นทั้งหมด ทั้งสองประเทศก็ไม่มีทางติดต่อเจรจาพบปะหารือในกรณีฉุกเฉินได้ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่มาของเขต JSA Jointed Secutiry Area ซึ่งจะตั้งอยู่ใจกลางเขต DMZ และอยู่ภายใต้การควบคุมจากหลายฝ่าย ทั้งสองเกาหลี และสหประชาชาติ (UN) และชาติเป็น กลางอื่นๆ จุดสำคัญที่สุดใน JSA ก็คือบริเวณ Panmunjom(พันมุนจอม)ซึ่งเป็นจุดที่ทหารของสองเกาหลีจะยืนเผชิญหน้ากันตลอดเวลา
โดยมีเส้นแบ่งคร่อมตึกเจรจาไว้อย่างชัดเจน

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน และจะได้เข้าใจมากยิ่งขึ้น

ถือว่าเป็นความใฝ่ฝันอันสูงสุดตั้งแต่ได้มาเกาหลีและได้รับรู้ว่าเราชาวต่างชาติสามารถไปเยือนPanmunjomได้ในฐานะแขกของUN
ซึ่งแม้แต่คนเกาหลีและคนจากบางประเทศก็ยังหมดสิทธิ์ไป เชื่อได้ว่าเหล่าสาวกเกาหลีส่วนใหญ่ชาวไทยจะไม่ไปทริปแบบนี้
เพราะไม่ได้เน้นความบันเทิงเริงรมย์ ไฮไลท์ของทัวร์นี้คือ Panmunjom ซึ่งเป็นสถานที่เดียวที่ทหารของสองเกาหลีจะมายืนประจันหน้าหายใจรดกัน จริงๆมันเป็นสถานที่ที่เอาไว้ให้สองเกาหลีเจรจากันในกรณีเกิดวิกฤติ (ซึ่งก็ถูกใช้งานหลายครั้งแล้ว ทั้งเจรจาดีดี และยิงเป่าหัวกัน)สถานที่นี้อยู่ในความดูแลของUNด้วย หลายคนคงจะคุ้นตาดีเพราะปรากฎบ่อยๆในหนังเกาหลีที่พูดถึงเรื่องของการแบ่งแยกประเทศ
โดยเฉพาะหนังเกาหลีฟอร์มยักษ์เรื่อง JSA ที่ทำเอาผู้ชมน้ำตาซึมแถมออกอาการซึมเศร้าไปสามวันสามคืนติดกัน และคิดว่าชาตินี้จะต้องไปเยือน พันมุนจอมให้ได้ และแล้ว วันนั้นก็มาถึง…..

บรรยากาศภายใน JSA (Jointed Secutiry Area)

เพื่อง่ายต่อการทำความเข้าใจ ลองมาดูแบบจำลองอาคารที่อยู่ในเขตนี้ทั้งหมดจะถูกเรียกว่า DMZ ในเขต DMZ จะเป็นที่ตั้งของเขต JSA
ซึ่งประกอบไปด้วยค่ายทหารUN (Camp Bonifas) ตั้งตามชื่อนายพลที่ถูกเกาหลีเหนือลอบยิง และใน DMZ และมีสถานเจรจาตกลง Panmunjom เราจะเห็นอาคารเจรจาสีฟ้าหลายหลังเรียงกัน อาคารเหล่านี้จะตั้งคร่อมเขตแดนสองเกาหลีพอดี ข้างในจะมีโต๊ะเจรจา
ของบรรดาผู้แทนประเทศที่เป็นกลาง (ภาพที่แล้ว) และตัวแทนของ UN อาคารสวยๆสไตล์โมเดิร์นด้านขวามือคืออาคาร Freedom House ของเกาหลีใต้ ตึกแบบคร่ำครึที่อยู่เลยอาคารสีฟ้าออกไปคืออาคารของเกาหลีเหนือ ตึกของสองกาหลีมันตั้งประจันหน้ากันอยู่อย่างนี้แหละ โดยมีทหารของทั้งสองฝ่ายและทหาร UN รักษาการอยู่ตลอดเวลา

คณะจะต้องเข้าไปฟังบรรยายเกี่ยวกับ JSA และภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ บรรยายโดยทหารสหรัฐมาดแมน ซึ่งสำเนียงฟังยากมาก แถมพูดเร็วน้ำไหลไฟดับ พอฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ยังดีที่ศึกษาหาข้อมูลไปก่อนบ้าง ฟังข่าว CNN ยังรู้เรื่องกว่าหลายเท่าเลย เซ็งจิต

รถบัสของ UN จะไปจอดหน้าอาคาร Freedom House เราจะเดินเข้าไปในอาคารก่อนและตั้งแถวให้เป็นระเบียบในอาคาร
เพื่อเดินออกไปโผล่อีกด้านไปให้ทหารเกาหลีเหนือ พอเดินเรียงแถวขึ้นถึงบันไดขั้นสุดท้ายจะเห็นทางออกอีกด้านปรากฎอยู่ตรงหน้า
ทางออกของตัวอาคารอีกด้านนำไปสู่ฉากอันน่าตื่นตะลึง ภาพที่มองมาจากในอาคารฝั่งเกาหลีใต้ รู้สึกกลัวและประหม่ามาก
คิดว่าคนอื่นๆก็รู้สึกเหมือนกัน ไม่มีใครพูด ยิ้ม หรือหยอกล้นกันเลย เพราะเบื้องหน้าเรา ถัดจากครึ่งหนึ่งของอาคารสีฟ้าไป
ก็คือเกาหลีเหนือ และทหารเกาหลีเหนือ บรรยากาศโดยรอบเงียบสงัดจนน่ากลัว นี่คือการเผชิญหน้ากับประเทศที่ลี้ลับและเก็บตัวเงียบที่สุดแห่งหนึ่งในโลกนี้ จนมีคนตั้งสมญานามให้ว่า ”Hermit Kingdom” หรือดินแดนแห่งฤาษี

นอกจากนั้นยังมีหมู่บ้านของเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ ซึ่งหมู่บ้านสองแห่งนี้เท่านั้นที่อยู่ในเขต DMZ (จริงๆทางฝั่งเกาหลีเหนือเป็นหมู่บ้านหลอกๆ ไม่มีใครอาศัยอยู่เลย (เกาหลีใต้มีอะไรหรือสร้างอะไร เกาหลีเหนือจะต้องมีเหมือนกันหรือสร้างเหมือนกันแต่จะต้องยิ่งใหญ่กว่า)จะเห็นได้จากหมู่บ้าน และหอคอย หมู่บ้านและหอคอยสีฟ้า เป็นของเกาหลีเหนือ ส่วนที่เต้ยๆและเล็กๆเป็นของเกาหลีใต้ นั้นเป็นการแสดงถึงอำนาจและความยิ่งใหญ่ในตัวเอง สำหรับหมู่บ้านฝั่งเกาหลีนั้น คนที่จะมีสิทธิ์อยู่ ต้องเป็นคนในพื้นที่เดิมก่อนการแบ่งแยกเท่านั้น